Facebook Page ปะทะ Website อะไรเป็นอะไร เดี๋ยวรู้กัน !!!

https://www.youtube.com/embed/rSC2NFQEnEw?feature=oembed&autoplay=1
ช่วยแชร์ให้เพื่อน... สนับสนุนผู้เขียนครับ :)

หลายท่านอาจจะยังเข้าใจว่า Facebook Page หรือ เรียกสั้นๆว่า Page กับ Website เป็นสิ่งเดียวกันครับ ซึ่งจริงๆแล้วมันคือคนละอย่างนะครับ แต่ทั้งสองอย่างนี้ คือเครื่องมือการสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ทั้งสองตัวครับ

Facebook Page คือ

การสร้างตัวตนบนโลกของ Facebook ซึ่งเป็น Social Media ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ไม่ว่าคุณจะเป็นบุคคล บริษัท หรือ องค์กรใดๆ ก็สามารถสร้าง Facebook Page ได้บน Facebook ทั้งนั้น

แต่มีข้อแม้อยู่อย่างเดียวก็คือ Facebook Page จะต้องอยู่ภายใต้การกำกับของ Facebook ครับ การเผยแพร่ข่าวสารบน Facebook Page จึงเผยแพร่สู่ผู้ใช้งาน Facebook เป็นหลักครับ

Website ล่ะคืออะไร มาดูกันครับ

Website ก็คือ รูปแบบดั้งเดิม ในการสร้างตัวตนของ บุคคล บริษัท หรือ องค์กร ในอินเตอร์เน็ต ก่อนที่จะมี Social Media อย่าง Facebook อีกเสียด้วยซ้ำครับ เว็บไซต์แต่ละเว็บไซต์นั้นมีชื่อเฉพาะตัวของตัวเอง หรือ ก็คือ Domain Name นั่นเองครับ ยกตัวอย่างเช่น Sanook.com Kapook.com ก็เป็นชื่อเว็บไซต์ครับ โดยการเผยแพร่ Content สามารถเผยแพร่ให้กับ บุคคลทั่วไปบนโลกใบนี้ ที่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตเลยล่ะครับ

ทีนี้ เรามาดูกันครับว่า ระหว่าง Facebook Page กับ Website ว่าอะไร เป็นอะไรกันครับ

ประเด็นที่ 1 ระยะเวลาในการสร้าง

Facebook Page : ไม่กี่คลิกก็สร้างได้แล้ว โดยทำตามหน้าจอที่ Facebook แนะนำ ก็สามารถสร้างได้แล้ว

Website : ต้องเริ่มด้วยการตั้งชื่อ จดโดเมน และการใส่ข้อมูลลงไปในเว็บไซต์ ซึ่งใช้เวลาน้อยกว่า

คะแนน : ข้อนี้ต้องยกให้ Facebook Page ได้คะแนนไปก่อนครับ

ประเด็นที่ 2 การทำโฆษณา

Facebook Page : ก็มี Facebook Ads ในการทำโฆษณา ซึ่งเป็นการโฆษณาที่ง่ายดายมาก เพียงแค่ Boost Post หรือ Promote Page ก็สามารถโฆษณาได้แล้ว นอกจากนั้น Facebook Ads ยัง Target กลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำอีกด้วย

Website : ต้องทำโฆษณาผ่าน Search Engine อย่างเช่น ของ Google ก็จะมี Google Adwords ให้เราได้ใช้กัน ซึ่งการใช้ Google Adwords เราจะต้องทำการ Research Keyword ซึ่งใช้เป็นคำในการโฆษณา เพื่อเชื่อมโยงกับการโฆษณาของเรา

คะแนน : ทั้งความง่าย และ ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย ต้องยกให้ Facebook เขาล่ะครับ งานนี้

ประเด็นที่ 3 การเผยแพร่ Content

Facebook Page : เผยแพร่ Content ให้ ”ผู้ติดตาม” ของเรา ได้อย่างรวดเร็ว แทบจะเห็นได้ทันที จาก Feed ของผู้ติดตาม

Website : ต้องอาศัย SEO เพื่อทำการเผยแพร่ Content โดยมี Search Engine อย่าง Google เป็นตัวกลาง ซึ่งใช้ระยะเวลาระยะหนึ่ง ซึ่งคิดว่าจะต้องใช้ ตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 6 เดือนเลยทีเดียว

คะแนน : Facebook Page เผยแพร่ Content ได้เร็วกว่ามากๆครับ ดังนั้นคะแนนจึงเป็นของฝั่ง Facebook Page ครับ

ประเด็นที่ 4 ด้านการจัดการเนื้อหา

Facebook Page : เนื้อหาที่ใหม่ที่สุด จะอยู่ข้างบน เนื้อหาเก่าๆ จะลงไปอยู่ด้านล่าง ถ้าอยากจะดูเนื้อหา เก่าๆ ต้องไถลงไปดูที่ ด้านล่างกันเลยทีเดียว

Website : สามารถจัดหมวดหมู่ ได้ตามที่เราต้องการเลย อยากจัดแบบไหน อย่างไรจัดได้ทั้งหมดทุกประการเลยครับ

คะแนน : ในข้อนี้ ก็ต้องยอมรับว่า Website นั้นทำได้กว่ามากเลยครับ

ประเด็นที่ 5 การโต้ตอบกับผู้ใช้

Facebook Page : สามารถโต้ตอบกับ กับผู้ใช้งานได้ ได้ผ่านทาง Comments และ Message ที่เหมือนกับการคุยกันแบบตัวต่อตัวเลยทีเดียวครับ

Website : เราจะโต้ตอบผ่านแบบฟอร์ม และ Email กันเป็นส่วนใหญ่ หรือไม่ก็ต้องติดต่อผ่าน ช่องทาง Social Network อื่นๆ

คะแนน : ในข้อนี้ Facebook Page ทำได้ดีกว่า และสะดวกสะบายกว่ามากๆครับ

ประเด็นที่ 6 ภาพลักษณ์ขององค์กร

Facebook Page : จุดประสงค์ของ Facebook ก็คือ การสร้าง Engagement กับผู้ใช้งาน ดังนั้น Facebook Page จึงเหมือนกับ Community Online เสียมากกว่า

Website : เนื่องจากเว็บไซต์ จะแตกต่างกันด้วยการ ออกแบบ ดังนั้น เว็บไซต์ จึงมีเอกลักษณ์ และสื่อสาร ความเป็นองค์กรได้มากกว่า

คะแนน : สำหรับภาพลักษณ์องค์กร เว็บไซต์นั้น สื่อสารได้ดีกว่าครับ

ประเด็นที่ 7 การควบคุม

Facebook Page : เมื่อ Facebook Page อยู่ภายใต้ Facebook ดังนั้น Facebook Page จึงอยู่ภายใต้กฎของ Facebook เช่นกันครับ เมื่อ Facebook เปลี่ยนแปลง อย่างเช่น หั่น Reach ขึ้นมา เราก็ต้องทำใจยอมครับ และปรับปรุง Page ของเราตามครับ

Website : ในเมื่อเว็บไซต์ เราสามารถตกแต่ง เพิ่มเติม หรือทำอะไรก็ได้ เราจึงเป็นอิสระ ไม่ต้องมีใครมาควบคุม

คะแนน : ดังนั้นในข้อนี้ Website จะมีความได้เปรียบในการควบคุมมากกว่าครับ

ประเด็นที่ 8 การเพิ่มเติมความสามารถ

Facebook Page : หลายท่านอาจจะยังไม่รู้ว่า Facebook Page สามารถเพิ่มเติมความสามารถ ได้โดย การติดตั้ง Facebook Page Application ลงไป เช่นเราอยากจะดึง Feed จาก Youtube มาลงบน Page เราก็สามารถทำได้ผ่าน Facebook Page Application ครับ

Website : เราสามารถติดตั้งโปรแกรม หรือ เขียนโปรแกรมเสริมสำหรับเว็บไซต์เองก็ได้ และทำได้อย่างที่เราจินตนาการไว้เลย

คะแนน : สำหรับในข้อนี้ เว็บไซต์นั้น มีความยืดหยุ่นมากกว่า ในการเพิ่มเติมความสามารถครับ

สรุป 4 ต่อ 4 เสมอกันครับ

ในความเห็นของผม เดี๋ยวนี้ถ้าจะค้าขาย และทำการตลาดออนไลน์ ต้องใช้ทั้งสองอย่างครับ Facebook Page ก็สามารถดึงคนไปเข้าเว็บไซต์ ที่มีการจัดระเบียบเนื้อหาเป็นอย่างดีได้ และเว็บไซต์เองถ้าทำ SEO ได้แล้วก็สามารถดึงคนมาพูดคุยกันที่ Facebook Page ได้เหมือนกัน และเว็บไซต์ ยังมีส่วนให้ ช่วยให้ Facebook Page ของเราน่าเชื่อถือมากขึ้นกว่า Page ที่ไม่มีเว็บไซต์รองรับด้วยครับ

ถ้าถามว่า เราจะเริ่มต้นอย่างไร สำหรับสองอย่างนี้ สำหรับการเริ่มต้น ให้เริ่มสร้าง Facebook Page ขึ้นมาก่อนครับ เพราะมันสร้างได้รวดเร็วกว่ามากๆ หลังจากนั้นก็ค่อยๆสร้างเว็บไซต์ตามมา และอาศัยการมีผู้ติดตามจาก Facebook Page โพสลิงค์ให้เข้าไปอ่านเนื้อหาในเว็บไซต์ได้ครับ นอกจากนั้น เมื่อเวลาผ่านไป และ Search Engine อย่าง Google ได้เก็บข้อมูล และ จัดอันดับเว็บไซต์ เราจากการทำ SEO แล้ว คนก็จะหาเว็บไซต์ของเราเจอได้ง่ายขึ้น และมีการเข้าไปใช้ Facebook Page ของเราเพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัวอีกด้วยครับ

ถ้าวันนี้ เรายังไม่ได้สร้างสักอย่าง รับรองเลยว่า คู่แข่งของเรา ทำแน่ๆครับ ดังนั้น ถ้าอยากสู้กับคู่แข่งได้อย่างสูสี และ อยู่เหนือคู่แข่ง เราก็ต้องสร้างเอาไว้ทั้งสองอย่างครับ เพื่อความสำเร็จในธุรกิจของเรา


ช่วยแชร์ให้เพื่อน... สนับสนุนผู้เขียนครับ :)
ประชาสัมพันธ์
คอร์สเรียนออนไลน์
ทำ Blog ง่ายๆ ใครก็ทำได้

Blog คือ เครื่องมือที่ใช้สร้างโอกาส 

และ สร้างตัวตนได้ ทุกยุคทุกสมัย 

ราคาปกติ 3,990 บาท
Early Bird 1,990 บาท
(สำหรับ 50 ท่านแรก)

พลากร สอนสร้างเว็บ

รับเทคนิค ความรู้ ข่าวสาร การทำเว็บไซต์

จาก พลากร สอนสร้างเว็บ

เฉพาะ สมาชิกเท่านั้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *