สวัสดีครับ ผู้อ่านทุกท่าน สำหรับปี 2019 ที่ผ่านมา ผมได้อะไรหลายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นแง่มุมทางธุรกิจ หรือว่า แง่มุมการใช้ชีวิต การจัดการชีวิตให้เป็นระเบียบ และ การลงทุน
1 Year 1 Goal
ผมพยายาม Focus อยู่ 1 อย่างเท่านั้น ในปีนี้ อย่างน้อย ถ้าทำอะไรยังไม่เรียบร้อย เป้าหมายนี้จะต้องลุล่วง ถ้าผมไม่ Focus ทีละเป้าหมาย เป้าหมายอันดับหนึ่งของปีก็คงยังไม่สำเร็จ และ อาจจะไม่มีเป้าหมายใด ที่สำเร็จเลยด้วยซ้ำไป
แนวคิด นี้ได้มาจาก หนังสือชื่อ The One Thing ในภาษาไทยน่าจะชื่อ ได้ทุกสิ่งในสิ่งเดียว เป็นแนวคิด ที่ดีมาก สำหรับตัวผมเองในปีที่ผ่านมา
เป้าหมายที่ทำสำเร็จในปีนี้ ก็คือ การที่ผมได้ทำวีดีโอลง Youtube ได้ทุกสัปดาห์ โดยไม่มีข้ออ้าง ภายใต้เงื่อนไขว่า วีดีโอที่ออกมา จะต้องมีคุณภาพ ซึ่งที่ผ่านมาได้ทำสำเร็จไปเรียบร้อยแล้ว
แต่ก็มีเป้าหมายอีกหลายอย่าง ที่ยังทำไม่เสร็จ เน้นย้ำว่าหลายอย่างมากๆ ไม่ได้เป็นตามที่เราคาดหมายไว้ ซึ่งก็รู้อยู่ว่า เป็นเพราะเรายังจัดการตัวเราเองได้ไม่ดีพอ และ ที่สำคัญเรา UNDERESTIMATE หรือ ประเมินการกระทำ ที่จะทำเป้าหมายให้สำเร็จ ต่ำเกินไป
Aging
ผมคิดอยู่เสมอว่า เวลาในชีวิต ของเรา “มีไม่มาก” จะเรียกว่า เหลือน้อยก็ว่าได้ เพราะคนเรามีความไม่แน่ไม่นอนสูงมาก มีอยู่ช่วงนึง ผมมีอาการไม่สบาย และ ปวดหลังมาก จนต้องหันมาดูแลตัวเองให้ดีขึ้น ไม่งั้น เวลาที่เหลือ เราจะใช้ได้อย่างไม่คุ้มค่าเลย
ถ้าคนที่เคยทำงานประจำด้าน IT อาจจะเคยรู้สึกแบบนี้ครับ “เจ้านายเราจะขยันไปไหน” วันหยุดก็ทำงาน ดึกก็ทำงาน สรุปคือ ทำงานตลอดเวลา พอผมคุยเรื่องนี้กับเพื่อนไปมา ก็ค้นพบคำตอบนึง
ในวัยเริ่มต้นทำงาน ช่วงอายุ 20 – 30 ปี วัยนี้ค่อนข้างจะมีไฟมาก การทำงานหนักถือเป็นเรื่องปกติ แต่พอเข้าวัย 30 – 40 ปี เหมือนไฟในตัวจะเริ่มมอดลง และ แรงจูงใจในการทำงานก็เริ่มหายไป อยากพักอยู่อย่างเดียว แต่พอ เข้าวัย 41 – 45 ปีขึ้นไป ไฟจะกลับมาครับ คำตอบนั้นคือ เพราะว่า ตัวเราเองรู้อยู่ลึกๆแล้วว่า เวลาของเราเหลือไม่มากแล้ว เราควรจะทำอะไรให้ดีที่สุด เลยเป็นที่มาของความขยัน ของเจ้านายที่มีช่วงอายุในเกณฑ์นี้ ถ้าผมเจ้าใจผิดก็ขออภัย แต่ลองสังเกตุดูครับ
ในอายุของเราที่มากขึ้นเรื่อยๆ การทำงานหนัก อาจจะไม่ใช่คำตอบเสมอไป ผมมักจะคิดอยู่เรื่อยๆ ว่าเราจะทำอย่างไรให้ชีวิตดีขึ้น แม้สักนิดนึงก็ยังดี นี่ก็เป็นอีกที่มา ที่ผมลงทุนกับเครื่องมือทำมาหากิน หรือ เครื่องมือ อำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันครับ
Investment
ปีนี้ผมลงทุน ในเครื่องมือ และ Software มากที่สุดในชีวิตของการทำงานเลยก็ว่าได้ เลยต้องตั้งกฎการลงทุนให้ตัวเอง แบบเข้มข้นเลย นั่นก็คือ ถ้าเราลงทุนกับ Software ตัวไหนแล้ว ต้องคิดว่ามี ความคุ้มค่า หรือ มีผลตอบแทน ไม่เกิน 3 เดือน จากเงินที่เราลงทุนไป จึงค่อยตัดสินใจซื้อ
ไม่เช่นนั้น จะเหมือนกับการซื้อหนังสือครับ ซื้อมาดองมากกว่าอ่านเสมอ เรื่องของหนังสือ ส่วนตัวผมเอง ก็ตั้งกฎไว้เช่นกันว่า ถ้าจะซื้อหนังสือเล่มใหม่ ต้องอ่านเล่มที่ซื้อมาใหม่ไม่เกิน 2 วันหลังจากที่ซื้อมา และอ่านให้จบภายใน 2 สัปดาห์ เพราะ ดองไว้เยอะ มันเลยเป็นไปไม่ได้ ถ้าเราจะเริ่มไล่อ่าน หนังสือที่เราดองไว้ให้จบก่อนแล้วค่อย ซื้อเล่มใหม่ อันนี้ต้องตั้งกฎตามสภาพความเป็นจริง
My Book of the Year
ใน 1 ปี ผมอ่านหนังสือมากกว่า เดือนละหนึ่งเล่ม แต่เล่มที่ผมคิดว่า มีอิทธิพล ต่อชีวิตของผมมากที่สุดในปีนี้ คือ หนังสือ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับธุรกิจเลย หนังสือเล่มนี้จะพูดถึงการ เดินทาง และ การทำตามเป้าหมาย อย่างไร้เหตุผล ใช่ครับ ไร้เหตุผลจริงๆ
หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า The Happiness Of Pursuit ของ Chris Guillebeau มีฉบับแปลไทยด้วยครับเล่มนี้ ผมก็อ่านภาษาไทยนะ อ่านเร็วดี คนแปลดี และ คนเขียนเขียนได้น่าติดตาม
อ่านแล้วก็ทำให้มีไฟ ในการทำเป้าหมายที่ไร้เหตุผล ให้สำเร็จโดยไม่ต้องคิดมาก 🙂
My App of the Year
Application บนมือถือ ที่ผมใช้เยอะที่สุด จนถึงตอนนี้ ก็ใช้อยู่ คือ… TickTick เป็น Task Manager ที่คอยช่วยจำว่า เราต้องทำอะไรบ้างในแต่ละวัน ทำให้เราไม่ต้องเปลืองสมอง ในการเก็บข้อมูลว่า พรุ่งนี้ต้องทำอะไร หรือ ลืมทำอะไรบ้าง หน้าที่ของเราคือ เราใส่ข้อมูล แล้วเข้ามาเช็ค ทุกเช้า หรือ ทุกเย็น จบ ที่ชอบที่สุดคือ Calendar View ของ App นี้ ทำได้ค่อนข้างดี เมื่อเทียบกับ App อื่นเลย
อีก Application นึงที่ใช้บ่อย ไม่แพ้กันเลยคือ CALM หรือ App นั่งสมาธินั่นเองครับ จริงๆ ใช้มา 3 ปีได้แล้วครับ แต่รู้สึกว่า ปีนี้ใช้เยอะเป็นพิเศษ เลยยกให้เป็น App of the Year อีกตัวหนึ่งครับ
Business Disruption
เรื่องนี้มีคนพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง มีทั้งคนที่รู้จริง และ คนที่ไม่รู้จริง แต่เอาเป็นว่า ในความคิดผม เราต้องจัดลำดับความสำคัญ เรื่องของการทำธุรกิจของเราให้อยู่รอดก่อนครับ ยังไม่ต้องคิดว่า เราจะนำ Block Chain, AI มาใช้ได้อย่างไร ให้เริ่มคิดทีละ Step ก่อนคือ เทคโนโลยีเหล่านี้ มันคืออะไร แล้วมันกระทบกับธุรกิจของเราอย่างไรมากกว่า
ธุรกิจเราจะอยู่รอดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการปรับปรุง Model ธุรกิจ ให้อยู่รอดในยุคต่อไป ผมคิดว่าสิ่งนี้เป็น Priority หลัก ในยุค Digital & Business Disruption เพราะ ผมเอง คาดการณ์ว่า ธุรกิจไม่น้อย ต้องจากไปในเวลาอันใกล้แน่นอน อย่างน้อย ถ้าธุรกิจเดิมที่เป็น Offline แล้วยังไม่ Online ตอนนี้ผมคิดว่าเป็น ภาคบังคับแล้วที่เราจะออนไลน์ ต้องเลิกมองระยะสั้นว่า Online มีค่าใช้จ่ายมากไม่คุ้มกับการทำตอนนี้ เพราะคนในยุคต่อไปที่จะครองโลก คือ คนที่เกิดมาในยุค Digital ทั้งนั้น แล้วเราจะอยู่อย่างไร
เมื่อไรก็ตามที่ ผู้เล่นรายใหญ่เข้ามา ชีวิตธุรกิจเล็กเปลี่ยนไปตลอดกาลแน่นอน บางทีธุรกิจเล็ก อาจจะต้องเปลี่ยนธุรกิจเลยก็ว่าได้ ถ้าไม่ Disrupt ตัวเองก่อน ต้องระวังให้ดี ผมเองคิดเสมอว่า สักวัน Disruption มาแน่นอนกับธุรกิจที่เราทำอยู่
Next
ในปีหน้าที่จะถึงนี้ หรือ ปี 2020 ผมว่าธุรกิจที่ผมทำอยู่ จะมันส์ขึ้นแน่ๆ เพราะมีคู่แข่งหลายรายเข้ามา และ ถ้าเรายังไม่คิดอะไรใหม่ หรือ Disrupt ตัวเองก่อน ก็เตรียมตัว เจ๊งได้เลย
Disrupt ตัวเองในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงแค่ เรื่องของธุรกิจอย่างเดียว แต่รวมไปถึงเรื่องของการใช้ชีวิต และ การตั้งเป้าหมายด้วยว่าเราจะทำให้ชีวิตของเราดีขึ้นอย่างไร ถ้าเรายิ่งทำยิ่งเหนื่อย ยิ่งไม่มีความสุข อันนี้ ก็ไม่น่าจะใช่ สิ่งที่เราคาดหวัง
คนเราควรจะมีความสุข มีการใช้ชีวิต และ ได้มีเวลาในการทำเรื่องที่ตัวเองชอบบ้าง อย่างน้อย REST เพื่อ RESET ตัวเอง ให้กลับมาสู่โหมดที่เรา มีประสิทธิภาพได้ดีที่สุด
เป้าหมายของผมก็ยังคงดำเนินต่อไป… ขอบคุณที่อ่านจนถึงตรงนี้ครับ พบกันปีหน้า 2020
สวัสดีปีใหม่ 2563 และ HAPPY NEW YEAR 2020
Blog คือ เครื่องมือที่ใช้สร้างโอกาส
และ สร้างตัวตนได้ ทุกยุคทุกสมัย
(สำหรับ 50 ท่านแรก)
รับเทคนิค ความรู้ ข่าวสาร การทำเว็บไซต์
จาก พลากร สอนสร้างเว็บ
เฉพาะ สมาชิกเท่านั้น