WordPress Theme มีกี่แบบ แล้วเลือกอย่างไรดี ?

Wordpress Theme มีกี่แบบ แล้วเลือกอย่างไรดี ?
https://www.youtube.com/embed/p5izlXCLy6M?feature=oembed&autoplay=1
ช่วยแชร์ให้เพื่อน... สนับสนุนผู้เขียนครับ :)

หลังจากที่เราเรียนรู้เรื่องการ ติดตั้ง ธีมใน WordPress ไปแล้วนะครับ วันนี้ก็ได้เวลาที่เราจะมา Shopping ธีมกัน แต่ก่อนอื่นเรามารู้จักกับ ประเภทของธีมใน WordPress ก่อนครับ

ประเภทที่ 1 เราเรียกว่า ธีมรวมฮิต หรือ Integration Theme ครับ

ธีมประเภทนี้ เราเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Multi-Purpose Theme หรือ ธีมอเนกประสงค์ ซึ่งเป็นธีมที่เราจะใช้สร้างเว็บไซต์แบบไหนก็ได้ครับ โดยธีมนี้จะมาพร้อมกับเครื่องมือในการสร้างเว็บไซต์แบบครบสูตร เลยทีเดียว พระเอกของธีมประเภทนี้เลยก็คือ Plugin ที่เราเรียกว่า Page Builder ครับ เจ้าตัว Page Builder นี้ จะเป็นตัวช่วยวางโครงสร้างหน้าเว็บของเรา ให้เป็นไปตามที่เราต้องการครับ เดี๋ยวเราลองมาดูตัวอย่าง Page Builder กันครับว่ามันง่ายขนาดไหน สมมุติว่า ผมต้องการแบ่ง Column แล้วใส่รูปภาพเข้าไปผมก็สามารถทำได้เลยทันทีครับ แต่ถ้าเป็นตัวแก้ไขข้อความของ WordPress ตามปกติก็จะทำได้ยากกว่าครับ ซึ่ง Page Builder จะมีหลายยี่ห้อมากๆ แต่ละธีมก็จะพยายามสร้าง Page Builder ของตัวเองขึ้นมาครับ ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า การใช้งาน Page Builder ต้องอาศัยระยะเวลาในการศึกษาและความคุ้นเคยครับ เมื่อเราคุ้นเคยกับ Page Builder ตัวหนึ่งแล้ว เราก็มักจะขี้เกียจย้ายค่าย หรือศึกษาตัวใหม่ครับ ทำให้เราต้องกลับไปซื้อหรือไปใช้ ธีมเดิมต่ออีกครั้งในเวลาที่เราทำเว็บต่อไป นอกจากพระเอกอย่าง Page Builder Plugin แล้ว ธีมเหล่านี้ก็ยังแถมตัว Plugin อื่นๆ อย่างเช่น Plugin ยอดฮิตที่เราไว้ใช้ทำ Slide กันอย่าง Slider Revolution หรือ Layer Slider ครับ เรียกได้ว่า แถมเป็นจริงเป็นจังกันมากๆครับ ที่สำคัญที่สุดสำหรับธีมรวมฮิตนี้คือ ตัวเลือกการปรับแต่งที่ หลากหลายมากมาย เป็นร้อยตัวเลือกครับ ที่จะช่วยให้เราปรับแต่งเว็บไซต์ของเราให้เป็นไปตามที่เราต้องการ ข้อดี ของธีมประเภทนี้ก็คือ ธีมเดียวอยู่ครับ เราสามารถสร้างเว็บไซต์อะไรก็ได้ตามที่เราต้องการเลยจากธีมเดียวนี้ ไม่ต้องไปซื้อ Plugin เพิ่มเติม ส่วนข้อเสียของมันก็คือ อย่างแรก เมื่อเป็น Page Builder ค่ายใครค่ายมัน เวลาที่เราเปลี่ยนธีมทีนึง เราก็ต้องมาทำหน้าที่เราสร้างด้วย Page Builder ใหม่ด้วยครับ อย่างที่สอง ธีมประเภทนี้ ต้องใช้เวลาเรียนรู้นะครับ ถ้ามือใหม่แบบ ไม่เคยสร้างเว็บมาเลย แล้วมาใช้ธีมประเภทนี้ ก็จะมีอาการมึนตัวเลือก และ ไม่รู้ว่าควรจะปรับแต่งอะไรตรงไหนครับ

ประเภทที่ 2 เราเรียกว่า ธีมมาตรฐาน หรือ Standard Theme ครับ

ธีมประเภทนี้ เป็นธีมที่สร้างมาโดยมีรูปแบบเฉพาะ ของธีมนั้น ไม่ได้มีตัวเลือกที่มากมายเหมือนกับธีมรวมฮิต ธีมมาตรฐาน จะเปรียบเสมือนเสื้อผ้า ให้ WordPress Website ของเราสวมใส่ครับ โดยจะไม่มีผลกระทบต่อเนื้อหาของเราเมื่อเราเปลี่ยนธีมครับ จุดเด่นสุดๆของธีมประเภทนี้คือ ใช้งานง่ายครับ ติดตั้งเสร็จ ก็เรียกได้ว่าใช้งานได้เลย หรือ เราจะปรับแต่งนิดหน่อยก็ได้ ธีมประเภทนี้ จึงเหมาะสำหรับ คนที่เพิ่งจะหัดทำเว็บไซต์มากๆครับ ตอนที่ผมหัดทำเว็บไซต์ ผมก็เริ่มจากธีมประเภทนี้เช่นกันครับ เพราะมันจะทำให้เราเข้าใจ ฟังก์ชั่นที่แท้จริงของระบบ WordPress ก่อนที่เราจะมาทำความเข้าใจ ฟังก์ชันเสริมของธีมครับ นอกจากนั้นธีมประเภทนี้ มักจะเป็นธีมที่โหลดได้อย่างรวดเร็ว และไม่หนักเว็บไซต์เราอีกด้วยครับ เอ๊ะคำว่าหนักเว็บไซต์หมายถึงอะไร หลายท่านอาจจะสงสัยใช่ไหมครับ คำว่าหนักเว็บไซต์ในที่นี้ผมหมายถึงเว็บไซต์ จะต้องประมวลผลมาก ก่อนแสดงหน้าจอให้ผู้ใช้ได้ชมครับ เหตุผลที่ไม่หนัก ก็เพราะว่า มันซับซ้อนน้อย จึงประมวลผลน้อยกว่ามากๆนั่นเอง ข้อดี ของธีมประเภทนี้ ก็คือ ความง่ายในการติดตั้ง และ ไม่กระทบกับเนื้อหาของเราเมื่อเราเปลี่ยนธีม นอกจากนั้นยังทำงานได้รวดเร็วอีกด้วย ข้อเสีย ของธีมประเภทนี้ ก็คือ 1 ธีม ไม่สามารถมารถ ทำได้ทุกอย่าง เพราะ ธีมมาตรฐาน จะเป็นรูปแบบเดียวมาเลย เปลี่ยนได้เฉพาะ เนื้อหาภายในเท่านั้น ถ้าต้องการรูปแบบอื่น ก็ต้องใช้ธีมมาตรฐาน แบบอื่น เราก็รู้จัก ประเภทของ ธีมกันไปแล้วนะครับ แต่ในโลกของ WordPress ธีม ยังมีคำศัพท์อีกคำหนึ่ง นั่นก็คือคำว่า Premium Theme ครับ คำว่า Premium Theme ก็คือ ธีมพิเศษ ที่นอกเหนือจาก Free Theme ที่เราต้องเสียเงินซื้อมานั่นเอง มาดูวิธีเลือกซื้อกันบ้างครับ หลักๆผู้ขายธีมจะขายธีมเป็นสองรูปแบบก็คือ

1) ขายปลีก คือการ ให้ผู้ใช้ซื้อทีละธีมครับ

ตลาดขายปลีก อันดับหนึ่งของโลกก็คือ Theme Forest ครับ นอกจากนั้นยังมีตลาดอื่นๆอีกมากมายพอสมควร แต่ที่นี่ถือว่าเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของธีม WordPress ครับ โดยลักษณะการขายก็คือ 1 ธีม จะใช้สำหรับ 1 เว็บไซต์ครับ ถ้าต้องการใช้กับหลายเว็บไซต์ ก็ต้องไปซื้อมาเพิ่มตามจำนวนเว็บไซต์ครับ

2) ขายแบบสมาชิก หรือ ธีมคลับ

แบบนี้ผมชอบเรียกว่าแบบ บุฟเฟ่ ครับ เพราะตราบใดที่เราเป็นสมาชิกค่ายธีม เราสามารถที่จะนำธีมไปใช้กับกี่เว็บไซต์ก็ได้ครับ แต่มีเงื่อนไขว่า เราจะอัพเดทธีมได้ก็ต่อเมื่อ สมาชิกของเรายังไม่หมดอายุครับ โดยทั่วไปจะเสียค่าสมาชิกเป็นรายปีครับ บางแห่งมีสมาชิกตลอดชีพก็มีครับ ค่ายธีมที่ผมดูแล้วเชื่อใจได้ ของต่างประเทศจะมีอยู่ 2 ค่ายครับ คือ elegatthemes เจ้าของ Divi Theme และ studiopress เจ้าของ Genesis Theme ครับ

แบบไหนถึงคุ้ม ?

ถ้าไม่ได้มีอาชีพสร้างเว็บไซต์โดยตรง แนะนำซื้อปลีกดีกว่าครับ คุ้มค่ากว่า และราคาถูกกว่ามากครับ แต่ถ้าเป็นนักพัฒนาเว็บไซต์ ที่มีงานอย่างต่อเนื่อง การเป็นสมาชิกธีมคลับ ถือว่าคุ้มค่าครับ แล้วถ้าค่ายธีมไหนที่เชื่อถือได้ มีรูปแบบสมาชิกตลอดชีพก็ยิ่งคุ้มค่ามากครับ

ข้อควรพิจารณา ก่อนซื้อธีม

ผมจะให้ข้อควรพิจารณา เอาไว้สัก 4 ข้อนะครับ 1) ธีมนี้ขายมานานเท่าไรแล้ว ถ้าขายมายาวนาน ก็ถือว่าเชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ต้องดูข้ออื่นประกอบด้วย 2) ธีมนี้อัพเดทครั้งล่าสุดเท่าไร ถ้าอัพเดทมานานมากแล้ว ก็มีสิทธิ์ที่นักพัฒนาจะทิ้งธีมนี้ได้ แต่ถ้าเพิ่งจะอัพเดทเร็วๆนี้ ก็ถือว่า โอเคครับ 3) ผู้ใช้รีวิวเป็นอย่างไร ถ้ามีคนรีวิว ให้เราอ่านก่อนก็ยิ่งดี แต่เราก็ต้องเลือกที่จะอ่านเฉพาะ รีวิวที่เป็นกลางด้วยนะครับ เพราะเดี๋ยวนี้ เว็บรีวิวที่ได้ค่าคอมมิสชั่นก็มีครับ 4) ธีมนี้เป็นแบบที่เราต้องการหรือไม่ ข้อนี้ สำคัญมากๆครับ ถ้าไม่ใช่แบบที่เราต้องการก็จบ อย่าไปซื้อเพราะมันหรูหรานะครับ เราก็ได้เรียนรู้เรื่องราว ประเภทของธีม และ การเลือกซื้อธีมกันไปแล้วนะครับ ต่อไปเวลา เราจะสร้างเว็บไซต์ เราก็สามารถที่จะเลือกธีมได้อย่างเหมาะสมกับเว็บไซต์ของเราครับ
ช่วยแชร์ให้เพื่อน... สนับสนุนผู้เขียนครับ :)
ประชาสัมพันธ์
คอร์สเรียนออนไลน์
ทำ Blog ง่ายๆ ใครก็ทำได้

Blog คือ เครื่องมือที่ใช้สร้างโอกาส 

และ สร้างตัวตนได้ ทุกยุคทุกสมัย 

ราคาปกติ 3,990 บาท
Early Bird 1,990 บาท
(สำหรับ 50 ท่านแรก)

พลากร สอนสร้างเว็บ

รับเทคนิค ความรู้ ข่าวสาร การทำเว็บไซต์

จาก พลากร สอนสร้างเว็บ

เฉพาะ สมาชิกเท่านั้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *